สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้จัดงานสัมมนาวิชาการ “Fiscal Transformation พลิกโฉมการคลังไทยสู่ความยั่งยื น” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ อนำเสนอแนวคิดเชิงนโยบายของข้ าราชการรุ่นใหม่ของ สศค. พร้อมทั้งรับฟังและแลกเปลี่ ยนความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องที่ มาร่วมงานกว่า 400 คน เกี่ยวกับแนวทางในการปฏิรู ปการคลังของประเทศเพื่อรับมือกั บความท้าทายเชิงโครงสร้างทั้ งทางเศรษฐกิจและสังคมที่ไทยกำลั งเผชิญอยู่ และนำไปสู่ การเสนอแนะนโยบายการคลังที่ เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป ซึ่งสอดรับกับความมุ่งมั่ นของประเทศไทยในการเตรี ยมความพร้อมสำหรับการเป็นเจ้ าภาพจัดการประชุมระดับโลก IMF-World Bank Group Annual Meetings (AM2026) ในปี 2569
ถอดรหัสความเสี่ยงทางการคลัง: แผนที่ เข็มทิศ และมาตรวัดสู่ความยั่งยืน
ในช่วงเช้าของการสัมมนา ได้มีการนำเสนอผลงานวิ ชาการของข้าราชการ สศค. ในหัวข้อ “Fiscal Transformation: Mastering Risks to Secure the Future ถอดรหัสความเสี่ยงสู่บทเรียนแห่ งความสำเร็จ” โดยได้วิเคราะห์ถอดรหัส “ความเสี่ยงทางการคลัง” ใน 3 มิติ ดังนี้
-
มิติด้านโครงสร้างเศรษฐกิจและสั
งคม: พบว่าเศรษฐกิจและสั งคมไทยหลัง COVID-19 เผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้าง ทั้งปัญหาความเหลื่อมล้ำ สังคมสูงวัย ความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้ างตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภค รวมถึงปัจจัยภายนอกประเทศและปั จจัยทางธรรมชาติ ซึ่งสร้างความเปราะบางแก่ ภาคการคลัง -
มิติด้านการคลัง: พบว่าไทยยังมี
พื้นที่ทางการคลังสำหรับการก่ อหนี้เพิ่มเติม แต่ต้องดำเนินการด้วยความระมั ดระวัง ซึ่งรัฐบาลควรเก็บพื้นที่ ทางการคลังไว้รองรับวิ กฤตในอนาคต โดยเร่งรัดปรับสมดุลทางการคลั งเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านหนี้ สาธารณะ ยกระดับประสิทธิภาพภาครัฐ และเพิ่มความสามารถในการจัดเก็ บรายได้ -
มิติด้านกฎหมาย: พบว่าเกณฑ์วินั
ยการคลังของไทยส่งเสริมความยั่ งยืนทางการคลังในภาพรวม และมีกลไกยืดหยุ่นสำหรับวิกฤต อย่างไรก็ตาม ระดับการขาดดุลงบประมาณในช่วง 2 ปีล่าสุดสูงเกินกว่าจุดที่เอื้ อต่อการรักษาเสถียรภาพด้านหนี้ สาธารณะ ซึ่งหากไม่ปรับสมดุลทางการคลัง สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อาจสูงกว่าเพดานตามกฎหมาย
การถอดรหัสความเสี่ยงทางการคลั งจากทั้ง 3 มิติ ซึ่งเชื่อมโยงซึ่งกันและกันนี้ จะช่วยให้สามารถวางแผนการปรั บสมดุลทางการคลังได้อย่างเป็ นระบบ โดยได้มาซึ่ง “แผนที่” ที่ช่วยให้เข้าใจถึงอุ ปสรรคและปัจจัยเสี่ยงทางการคลัง “เข็มทิศ” ที่บอกตำแหน่งความเสี่ ยงและกำหนดทิศทางในการปรับสมดุ ลทางการคลังที่เหมาะสมในอนาคต และ “มาตรวัด” ที่คอยจับจังหวะและบ่งชี้ สภาวะของภาคการคลังอย่างแม่นยำ เพื่อส่งสัญญาณให้รั ฐออกแบบนโยบายการคลังอย่ างเหมาะสมในสถานการณ์ต่าง ๆ

ยกระดับนโยบายการคลังสู่ความหวั งที่ยั่งยืน: บทบาทสำคัญในการเป็นเจ้าภาพ AM2026
สำหรับช่วงบ่ายของการสัมมนา เป็นการเสวนาในหัวข้อ “Fiscal Transformation: Shaping Policies for Sustainable Change ยกระดับนโยบายการคลังสู่ความหวั งที่ยั่งยืน” ระหว่างบุคลากรชั้นนำจากภาครั ฐและเอกชน ได้แก่ ดร. พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิ จการคลัง นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิ จและสังคมแห่งชาติ ดร.นพ. พงศธร พอกเพิ่มดี รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายสมิทธ์ พนมยงค์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ซึ่งผู้ร่วมงานเสวนาต่างเห็นพ้ องว่า ไทยกำลังเผชิญความท้าทายเชิ งโครงสร้างทั้งเศรษฐกิจและสั งคมที่ส่งผลกระทบต่ อความสามารถทางการคลัง ทั้งอัตราการเจริญเติ บโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าค่ าเฉลี่ยกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ที่ไม่พึ่งพาทรัพยากรและสินค้ าพลังงาน ประกอบกับหนี้สาธารณะที่เพิ่มสู งขึ้น พื้นที่ทางการคลังที่จำกัด รายได้ภาครัฐที่ลดลง ในขณะที่รายจ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้น รวมถึงความท้าทายอื่น ๆ อาทิ การก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงจำเป็นต้องยกระดับภาคการคลั งอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิ ภาพการจัดเก็บรายได้ ควบคู่กับการบริหารจัดการรายจ่ ายภาครัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อสร้างความยั่งยืนทางการคลั งและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ในเชิงนโยบายการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิ จการคลังได้เสนอแนวทางเพิ่ มความสามารถในการจัดเก็บรายได้ ผ่านการปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ ม ขยายฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และจัดเก็บภาษีประเภทใหม่ให้ทั ดเทียมสากล ควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิ ภาพการจัดสรรทรัพย์สินภาครัฐ โดยเน้นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้ าง สอดคล้องกับเลขาธิการสภาพั ฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งเสนอให้ภาครัฐปฏิรูปการคลั งผ่าน 4 แนวทาง คือการปรับโครงสร้างรายได้ การปฏิรูปประสิทธิภาพการใช้จ่าย การบริหารจัดการหนี้สาธารณะอย่ างยั่งยืน และการปฏิรูปบทบาทภาครัฐและส่ งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน
ขณะที่ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงภัยคุกคามต่อการคลั งสาธารณสุขไทย 4 ประการ ได้แก่ สังคมผู้สูงอายุ อัตราการเกิดต่ำ การสูญเสียสุขภาวะจากโรคติดต่ อไม่เรื้อรัง (Non-Communicable Diseases: NCDs) และความเหลื่อมล้ำในบริ การสาธารณสุข ซึ่งส่งผลต่อขี ดความสามารถในการแข่งขั นของประเทศ โดยเสนอให้มีการทำให้กองทุนสุ ขภาพสำหรับประชากรกลุ่มต่าง ๆ มีมาตรฐานเดียวกัน สร้างแรงจูงใจระบบบริการปฐมภูมิ และเร่งจัดทำ Health Data Hub และประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI
ส่วนผู้แทนจากภาคเอกชน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ชี้ว่าการจัดเก็บภาษีของภาครั ฐส่งผลกระทบต่อธุรกิจ และเครื่องมือจัดเก็บภาษีปัจจุ บันยังไม่สอดคล้องสถานการณ์ปั จจุบัน จึงเสนอให้เพิ่มประสิทธิ ภาพการจัดเก็บภาษี ดึงคนนอกระบบเข้าสู่ระบบภาษี ทบทวนมาตรการลดหย่อนภาษี และวิเคราะห์อุตสาหกรรมใหม่เพื่ อหาช่องทางจัดเก็บภาษี รวมถึงบริหารทรัพย์สินรัฐเชิงรุ กเพื่อเพิ่มรายได้
ประเทศไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพ AM2026 ตอกย้ำความเชื่อมั่นบนเวทีโลก
การหารือถึงการปฏิรูปเพื่ อความยั่งยืนทางการคลังในงานสั มมนาวิชาการสำนักงานเศรษฐกิ จการคลังในครั้งนี้ สะท้อนถึงมุ มมองของกระทรวงการคลังของไทยที่ สอดคล้องกับวาระการประชุม IMF-World Bank Group Annual Meetings (AM2026) ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ไทยได้แสดงวิ สัยทัศน์และบทบาทในการขับเคลื่ อนการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิ จและการเงินระดับโลก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการพั ฒนาอย่างมั่นคงและยั่งยืน ตามหมุดหมายการสร้าง Thailand’s New Horizon: Empowering People, Building Resilience ต่อไป
# # #